15 วิธีรักษารอยสิวเร่งด่วน แบบธรรมชาติ ให้จางลง ผิวเนียนใส เห็นผลจริง

รอยสิว เป็นปัญหากวนใจของคนเป็นสิว ถึงแม้จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรง แต่รอยสิวสามารถส่งผลต่อความมั่นใจ ทำให้ต้องหาวิธีในการแก้ปัญหารอยสิวให้หายไป ซึ่งการเข้าใจกลไกของการเกิดรอยสิว และการรักษารอยสิวอย่างถูกวิธี ก็จะช่วยให้รอยสิวจางลงได้เร็วขึ้น ดังนั้น บทความนี้จะช่วยให้คนที่กำลังประสบปัญหาผิวหน้ามีรอยสิวได้เข้าใจถึงกลไกการเกิดรอยสิว ประเภทของรอยสิวพร้อมทั้งแชร์วิธีรักษารอยสิวเร่งด่วน แบบธรรมชาติ อย่างถูกวิธี ที่จะช่วยทำให้รอยสิวจางลง และหายได้เร็วมากขึ้น เห็นผลได้จริง จะมีอะไรที่ควรรู้ และวิธีการรักษาเป็นอย่างไรบ้างนั้น ตามมาดูกันเลยค่ะ

รอยสิวคืออะไร

รอยสิว คืออะไร

รอยสิว (Acne scar) คือ รอยแผลที่เกิดจากสิวเมื่อเราเป็นสิวอุดตันหรือสิวอักเสบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิวอักเสบที่มีระดับความรุนแรงในระดับปานกลางถึงรุนแรงมาก เมื่อสิวอักเสบนั้นหายไปก็มักจะทิ้งร่องรอยไว้ตามระดับความรุนแรงนั่นเอง นอกจากนี้ การบีบหรือการกดสิวก็จะยิ่งทำให้เกิดรอยสิวได้เช่นกัน ซึ่งรอยสิวเหล่านี้ก็เป็นผลมาจากกระบวนการฟื้นฟูสภาพผิวด้วยการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่นั่นเอง ทำให้เกิดรอยสิวในรูปแบบต่าง ๆ บนผิวหนัง

รอยสิว เกิดจากอะไร

รอยสิว มักจะเกิดจากการที่สิวได้รับการกระตุ้นจากหลายปัจจัย ดังนี้

  • การบีบสิวหรือกดสิว ที่ไม่ถูกวิธี ทำให้เกิดการอักเสบที่ใต้ชั้นผิวหนังลึก จนเกิดรอยสิวที่มีสีเข้มขึ้น
  • การแกะสิว การใช้มือที่ไม่สะอาดแกะ หรือสัมผัสสิวแรง ๆ จะทำให้ชั้นผิวเกิดการอักเสบขึ้นจนสามารถเกิดการฉีกขาดได้ ส่งผลให้เกิดเป็นรอยสิวเอาได้ง่าย ๆ
  • ขาดความสมดุลในชั้นผิว เกิดจากการขาดจุลินทรีย์ที่ช่วยในการฟื้นฟูผิวแห้งกร้านและเกิดรอยสิวได้ง่าย
  • ชั้นผิวขาดคอลลาเจน การที่ชั้นผิวมีคอลลาเจนลดลง หรือขาดคอลลาเจนนั้น เมื่อเกิดสิวอักเสบจะทำให้แผลจากสิวหายช้า ส่งผลให้เกิดรอยสิวตามมา
  • ผิวผลัดเซลล์เก่าได้ช้า เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ทำให้ร่างกายผลัดเซลล์ผิวได้ช้าลงตามธรรมชาติ จนทำให้รอยสิวหรือรอยแผลต่าง ๆ จางหายได้ช้ากว่าปกติตามไปด้วย
รอยสิวมีกี่ประเภท

รอยสิวมีกี่ประเภท และลักษณะของรอยสิว

รอยสิวมีทั้งหมด 3 ประเภท ที่เกิดขึ้นจากระดับความรุนแรงจากการอักเสบที่ต่างกัน ดังนี้

รอยแดง

รอยแดงจากสิว มีทั้งสีแดง สีชมพู หรือสีม่วง ส่วนใหญ่มักมาจากการอักเสบของผิวหนังบริเวณนั้น กลไกของการเกิดสิวคือ การที่ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป จนทำให้เกิดการอุดตันในรูขุมขน จนทำให้เกิดสิว และเกิดการอุดตันของน้ำมัน เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และเชื้อแบคทีเรียอาจจะทำให้ผิวหนังอักเสบจนกลายเป็นสิวอักเสบ

เมื่อผิวหนังเกิดการอักเสบ ทำให้ร่างกายเริ่มกระบวนการฟื้นฟูตัวเองด้วยการลำเลียงเลือดไปยังบริเวณผิวหนังที่มีการอักเสบ เพื่อซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ทำให้เกิดการขยายตัวของหลอดเลือดที่อยู่ภายใต้ผิวหนัง จนทำให้ผิวหนังกลายเป็นรอยสีแดง ชมพู หรือม่วงขึ้น รอยแดงจากสิวอักเสบหากไม่ได้รับวิธีรักษาที่ถูกต้อง อาจจะทำให้ผิวหนังเป็นรอยแดงอยู่นาน หรืออาจจะเป็นถาวรได้

รอยดำ

ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการอักเสบหรือการระคายเคืองของผิวหนัง ซึ่งการอักเสบจะไปกระตุ้นให้เมลาโนไซต์ (Melanocytes) ที่ทำหน้าที่ผลิตเมลานิน ให้ผลิตได้มากกว่าปกติ ทำให้เกิดรอยดำที่บริเวณผิวหนัง ซึ่งรอยดำจากสิวสามารถเป็นได้ทั้งรอยสีดำ สีน้ำตาล หรือสีเทา การเกิดรอยดำเป็นการอักเสบบริเวณใต้ชั้นผิวหนังแท้ ซึ่งการรักษาจะใช้เวลานานและยากกว่าการรักษารอยแดง

รอยหลุมสิว

เกิดจากสิวอักเสบ โดยเกิดจากกระบวนการการรักษาแผลบริเวณที่เป็นสิวให้ผิวบริเวณนั้นกลับมาเรียบเนียน ซึ่งร่างกายจะสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่ในการซ่อมแซมเพื่อสมานแผล แต่ส่วนใหญ่กระบวนการซ่อมแซมบาดแผลมักไม่เรียบเนียนเหมือนผิวหนังในตอนแรก เพราะเกิดการบาดเจ็บในชั้นผิวหนังที่อยู่ลึกลงไป คอลลาเจนและเนื้อเยื่อที่สร้างขึ้นมาไม่เพียงพอ ทำให้เกิดเป็นรอยหลุมสิวในที่สุด ซึ่งหลุมสิวสามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ตามระดับของความรุนแรงดังนี้

  • Rolling Scar หลุมสิวระดับทั่วไป เป็นหลุมสิวที่มีรอยแผลกว้าง รอยหลุมสิวชนิดนี้จะมีรูปร่างคล้ายคลื่น
  • Boxcar Scars หลุมสิวระดับปลานกลาง เป็นหลุมสิวที่มีรอยแผลลึก ปากแผลแคบ มักพบบริเวณแก้ม การรักษาค่อนข้างยากและรุนแรง
  • Ice Pick Scars หลุมสิวที่มีระดับความรุนแรง เป็นรอยหลุมสิวที่มีรอยแผลกว้าง มีทั้งแบบรอยหลุมตื้นและรอยหลุมลึก
  • Keloid Scars หลุมสิวที่เป็นแผลนูน มีลักษณะเป็นเนื้อนูนแข็งมีสีชมพู สีแดง หรืออาจจะสีเนื้อเข้มกว่าผิวหนัง แผลที่ทำให้เกิดคีลอยด์มักเป็นแผลที่ลึกถึงชั้นผิวหนังแท้

รอยสิว รักษาให้หายขาดได้หรือไม่

รอยสิวชนิดหลุมสิวที่ลึก และมีระดับความรุนแรงมาก ไม่อาจรักษาให้หมดไปอย่างสมบูรณ์ได้ แต่รอยสิวเหล่านั้นจะบางลงตามกาลเวลา ส่วนรอยสิวทั่วไปที่ระดับความรุนแรงไม่มากนั้นสามารถรักษาให้หายไปได้ หรือจะค่อย ๆ เลือนรางจนหายไปเมื่อเวลาผ่านไป ผู้ที่มีรอยสิวสามารถบำรุงดูแลผิวบริเวณที่เป็นรอยสิว เพื่อบรรเทาความรุนแรงของรอยนั้นได้ หรืออาจใช้เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ปกปิดร่องรอย เช่น ครีมรองพื้น หรือคอนซีลเลอร์ที่เข้ากับสีผิวบริเวณนั้น ช่วยปกปิดรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวได้

ทำไมรอยสิวหายช้า

ทำไมรอยสิวถึงหายช้า

ปัจจัยที่ทำให้รอยสิวมีโอกาสหายช้าได้ มีดังนี้

  • การบีบสิว หรือกดสิว  อย่างไม่ถูกวิธี ทำให้เกิดการอักเสบลึกขึ้น เกิดรอยสิวที่เข้มขึ้น และหายได้ช้ากว่าปกติ
  • แกะสิว หรือแกะแผลสิว  เป็นการทำให้ชั้นผิวฉีกขาดและเกิดการอักเสบมากขึ้น จนแผลสมานได้ช้าลง
  • ผิวขาดความสมดุล  ไม่มีจุลินทรีย์ที่ช่วยในการฟื้นฟูสภาพผิว ผิวแห้ง ไม่ชุ่มชื้นมากเพียงพอ
  • ชั้นคอลลาเจนไม่สมบูรณ์  จึงไม่มีโปรตีนที่เข้ามาช่วยสมานรอยสิวที่ชั้นผิวหนังในส่วนที่เกิดบาดแผลจากสิว
  • ผิวไม่ผลัดเซลล์  เกิดจากอายุที่มากขึ้น ทำให้ผิวผลัดเซลล์ได้ช้าลง หรือไม่มีการผลัดเซลล์ตามธรรมชาติ รอยสิวที่มีสีเข้มจึงจางหายช้ากว่าปกติ ที่จะมีการผลัดชั้นผิวด้านนอกออกอย่างสม่ำเสมอ

15 วิธีรักษารอยสิวเร่งด่วน แบบธรรมชาติ ให้จางลง เผยผิวหน้าเนียนใส เห็นผลจริง

วิธีรักษารอยสิวเร่งด่วน แบบธรรมชาติ ที่สามารถทำเองได้ที่บ้าน นอกจากนั้น วัตถุดิบก็หาได้ง่าย ๆ และมีความปลอดภัย อาศัยสมุนไพรต่าง ๆ ในการช่วยลดรอยสิว ไม่ว่าจะเป็นรอยดำ รอยแดง และรอยแผลเป็นจากสิว ก็จะช่วยทำให้จางลง และลดเลือนรอยต่าง ๆ ที่เกิดจากสิวให้หายไปได้ เผยผิวหน้าเนียนใส เห็นผลได้จริง จะมีวัตถุดิบอะไรบ้างนั้น มาดูกันเลยค่ะ

ไข่ขาว

1. ไข่ขาว

นำมามาสก์หน้าหรือแต้มเฉพาะจุดที่เป็นรอยแดง รอยดำของสิวจะช่วยดีท็อกซ์ผิวหน้า และสามารถลอกสิวเสี้ยนได้ ถ้าลองใช้กับมะนาวหรือผงสมุนไพร เช่น ผงทานาคาหรือขมิ้น จะมีส่วนช่วยทำให้หน้าขาวกระจ่างใส ที่สำคัญยังช่วยลดรอยสิวได้อีกด้วย

หอมแดง

2. หอมแดง

หอมแดงมีน้ำมันหอมระเหย มีสรรพคุณในการรักษาสิว ช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย ทำให้สิวยุบและช่วยลดรอยดำ รอยแดง ลดรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวได้เป็นอย่างดี โดยนำน้ำของหอมแดง มาทาบริเวณรอยสิว ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด รับรองรอยสิวก็สามารถจางลงได้แน่นอน

มะเขือเทศ

3. มะเขือเทศ

มะเขือเทศมีวิตามินซี โพแทสเซียม และไลโคปีนที่สูงมาก มีสรรพคุณที่ช่วยในการบำรุงผิวให้แข็งแรง กระจ่างใส สามารถช่วยรักษารอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวได้ โดยการนำมะเขือเทศมาบดและมาสก์หน้าทิ้งไว้สัก 10-15 นาที ก็สามารถเผยผิวใหม่ ที่กระจ่างใส ไร้ริ้วรอยได้แน่นอนค่ะ

มะนาว

4. มะนาว

มะนาวมีกรดที่เรียกว่า AHA โดยเป็นกรดอ่อน ๆ มีคุณสมบัติช่วยกำจัดรอยสิวได้เป็นอย่างดี โดยให้นำน้ำมะนาวมาผสมกับน้ำอุ่นพอประมาณ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดนอกจากจะช่วยลดรอยสิวแล้ว ยังช่วยป้องกันไม่ให้เกิดสิวขึ้นบนผิวหน้าด้วยนะคะ

ว่านหางจระเข้

5. ว่านหางจระเข้

มีคุณสมบัติของสารอะโลซิน จะช่วยลดการอักเสบและต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย มีส่วนช่วยในการรักษาสิวและลดการเกิดรอยสิว ลดการเกิดรอยดำ และช่วยในการสมานแผลด้วยอีกด้วย โดยนำว่านหางจระเข้มาปอกเปลือก แล้วนำวุ้นว่านหางจระเข้มาทาบริเวณใบหน้า วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น แต่ละครั้งทาทิ้งไว้ 45 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด จะทำให้ผิวหน้ารู้สึกเย็นและสดชื่น แถมยังช่วยให้ผิวหน้ากระจ่างใสอีกด้วยค่ะ

6. แตงกวา + น้ำผึ้ง + มะนาว

ส่วนผสมทั้งหมดนี้ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ช่วยลดความมันส่วนเกินบนใบหน้า และผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดออก เผยผิวใหม่ และช่วยสมานผิวบริเวณที่เป็นรอยแผลจากสิว โดยนำแตงกวามาคั้นเอาแต่น้ำ 1 ช้อนโต๊ะ แล้วผสมกับน้ำมะนาวและน้ำผึ้งให้ได้อีกอย่างละ 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

7. มะเขือเทศ + โยเกิร์ต + ข้าวโอ๊ต

ส่วนผสมของสูตรนี้ช่วยลดเลือนรอยสิว รอยดำ รอยแดงให้ดูจางลงได้ เพราะมะเขือเทศมีกรด AHA ธรรมชาติ ที่สามารถช่วยในการผลัดเซลล์ผิว พร้อมทำให้ผิวหน้าเนียนนุ่ม ชุ่มชื้น โดยนำมะเขือเทศมาบดละเอียด แล้วผสมกับโยเกิร์ต 1 ช้อนโต๊ะ และข้าวโอ๊ต 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้น นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

8. มะขามเปียก + น้ำผึ้ง + นมสด

ส่วนผสมทั้งหมดนี้ช่วยในเรื่องการผลัดเซลล์ผิวเก่า เผยผิวใหม่ ปรับสีผิวให้ดูกระจ่างใสขึ้น ลดความหมองคล้ำ ลดเลือนรอยแผลเป้นจากสิว รอยดำ และรอยแดงให้จางลง โดยนำมะขามเปียก 1 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง และนมสด อีกอย่างละ 1 ช้อนโต๊ะ มาผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

9. ขมิ้น + นมสด + มะนาว

สูตรนี้ช่วยลดรอยสิว ลดจุดด่างดำ ช่วยต้านการอักเสบของสิว ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดออก เผยผิวใหม่ และช่วยปรับสีผิวให้กระจ่างใสขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ผิวเนียนนุ่ม ชุ่มชื้น โดยนำผงขมิ้น 1 ช้อนโต๊ะ นมสด 3 ช้อนโต๊ะ และน้ำมะนาว 1 ช้อนชา คนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน แล้วพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด

10. ว่านหางจระเข้ + มะนาว

ส่วนผสมทั้งหมดนี้ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า ช่วยต้านทานการอักเสบของสิว ช่วยลดเลือนรอยสิว รอยดำ รอยแดง รวมไปถึงจุดด่างดำให้จางลง ทำให้ผิวกระจ่างใส โดยนำเนื้อว่านหางจระเข้ 2-3 ช้อนโต๊ะ และน้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ มาคนผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด

11. เบกกิ้งโซดา + น้ำผึ้ง + มะนาว

ส่วนผสมทั้งหมดนี้ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดออก ช่วยเผยผิวใหม่เร็วขึ้น ลดอาการอักเสบของสิว ช่วยควบคุมความมันส่วนเกินบนใบหน้า ที่สำคัญยังช่วยลดเลือนรอยสิว รอยดำ รอยแดง และจุดด่างดำให้จางลงอีกด้วย โดยนำเบกกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำมะนาวครึ่งลูก คนผสมให้เข้ากัน จากนั้นนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นให้สะอาด

12. ขมิ้น + โยเกิร์ต

สูตรนี้ช่วยลดรอยสิว รอยดำ รอยแดง และจุดด่างดำให้จางลง ช่วยกระชับรูขุมขน ทำให้ผิวเนียนนุ่มชุ่มชื้น ผิวกระจ่างใส และยังช่วยต้านแบคทีเรีย ทำให้ไม่ให้เกิดสิวบนผิวหน้าอีกด้วย โดยนำผงขมิ้น 1/2 ช้อนชา และโยเกิร์ตครึ่งถ้วย มาผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

น้ำมันมะพร้าว

13. น้ำมันมะพร้าว

น้ำมันมะพร้าวมีวิตามินอีสูงมาก ซึ่งจะช่วยมอบความชุ่มชื้นให้กับผิว และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ เรียบเนียน และยังลดรอยแผลเป็นจากสิวให้จางลงได้ด้วย โดยนำน้ำมันมะพร้าวมาบริเวณที่มีรอยดำจากสิวจนรู้สึกอุ่น ๆ จากนั้นนวดทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วล้างออกให้สะอาด ทำเป็นประจำ จะรู้สึกได้ว่ารอยดำจากสิวจางลงไวขึ้น

แอปเปิ้ลไซเดอร์

14. แอปเปิลไซเดอร์

ในแอปเปิลไซเดอร์จะมีกรดซักซินิกที่ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิวและระงับการอักเสบของสิวได้ นอกจากนี้ยังมีกรดแลคติกที่ช่วยทำให้รอยดำจากสิวดูจางลงอีกด้วย โดยผสมแอปเปิลไซเดอร์เข้ากับน้ำสะอาด อัตราส่วน 50 : 50 จากนั้น ทาลงบนผิวหน้าทิ้งไว้สัก 15-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

มะละกอ

15. มะละกอ

มีสรรพคุณช่วยรักษาสิวอักเสบ และลดรอยแผลเป็นจากสิวได้ด้วย เนื่องจากในมะละกอมีเอนไซม์ปาเปน และไคโมปาเปน ที่จะช่วยย่อยโปรตีน ซึ่งสามารถลดการอักเสบต่าง ๆ ของผิวหนังได้ และยังช่วยสมานแผลได้ดีอีกด้วย โดยนำมะละกอสุกปอกเปลือกและล้างยางออกให้สะอาด แล้วบดมะละกอให้ละเอียด จากนั้นให้ใส่น้ำผึ้งลงไปด้วย คนผสมให้เข้ากันแล้วนำมาพอกหน้า ควรทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จะเห็นได้ว่าสิวอักเสบลดลง และรอยแดง รอยดำจากสิวก็จางลงเช่นกัน

การป้องกันไม่ให้เกิดรอยสิว

การป้องกันการเกิดรอยแผลเป็นจากสิว ควรทำตามวิธี ดังต่อไปนี้

  • การไม่บีบหรือกดสิว การบีบสิวหรือกดสิวอาจทำให้เกิดการอักเสบเพิ่มขึ้นและเกิดการลุกลามของสิวได้ แบคทีเรียภายในสิวอาจแพร่กระจายไปยังผิวบริเวณอื่น ซึ่งจะสร้างความเสียหายให้แก่ผิวหนังเพิ่มมากขึ้น ผลที่ตามมาคือการเกิดรอยสิวขึ้นบนผิวหนังได้ง่ายขึ้น
  • ไม่ควรพอกหน้า การพอกหน้าหรือใช้ครีมบำรุงผิวหลากหลายทาพอกบริเวณรอยสิว นอกจากจะไม่ได้เกิดผลที่ดีแล้ว ยังอาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้ด้วย ซึ่งอาจทำให้รอยสิวปรากฏชัดเจนขึ้นได้อีกด้วย
  • อย่าใช้ผลิตภัณฑ์ออกฤทธิ์แรง อย่าใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่ออกฤทธิ์รุนแรงเกินไป หรือขัดถูบริเวณที่อักเสบมากจนเกินไป เพราะจะยิ่งไปเป็นตัวกระตุ้นอาการอักเสบและอาจทำให้เวลาที่สิวอักเสบหายแล้วอาจเกิดเป็นรอยสิวหรือหลุมสิวได้ ควรใช้ผลิตภัณฑ์รักษารอยสิวหรือลดรอยสิวโดยเฉพาะ
  • อย่าปล่อยให้ผิวแห้ง เป็นข้อที่สำคัญอย่างมากเพราะการที่ปล่อยให้ผิวหนังแห้งนอกจากจะทำให้เกิดริ้วรอยแล้ว คนที่มีผิวแห้งหรือผิวขาดน้ำจะยิ่งทำให้ผิวหน้าผลิตน้ำมันออกมามากจนเกินไป ทำให้เกิดสิวอุดตันได้ ซึ่งหากจะบำรุงผิวหน้าและรักษารอยสิวให้เห็นผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวและหมั่นดูแล บำรุงผิวอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้ผิวแห้ง ขาดน้ำเป็นอันขาด
  • ใช้ครีมกันแดดทุกครั้ง แสงแดดเป็นตัวกระตุ้นของการเกิดรอยแดง รอยดำเพิ่มมากขึ้น และในบริเวณที่เป็นรอยสิวที่เพิ่งเกิดขึ้น แสงแดดอาจทำให้บริเวณรอยสิวเกิดเป็นรอยดำได้ง่ายยิ่งขึ้นอีกด้วย เมื่อถึงเวลานั้นการรักษารอยสิวหรือรอยดำอาจต้องใช้เวลาในการรักษารอยสิวหรือต้องใช้ครีมรักษารอยสิวที่ต้องใช้เวลานานขึ้นไปอีก
  • รักษาสมดุลไมโครไบโอมบนผิว ไมโครไบโอม (Skin Microbiome) เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก เช่น แบคทีเรีย เชื้อรา ที่อาศัยอยู่บนผิวของคนเรา มีทั้งชนิดดีและไม่ดีที่ก่อให้เกิดสิวได้ เมื่อไมโครไบโอมชนิดดีลดลงหรือชนิดไม่ดีเพิ่มขึ้นก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดสิวและปัญหาผิวตามมา ดังนั้น จึงควรเพิ่มความแข็งแรงให้กับไมโครไบโอมชนิดดีด้วยการเพิ่มพรีไบโอติก (Prebiotics) ที่เป็นอาหารของไมโครไบโอมชนิดดี เมื่อไมโครไบโอมได้รับพรีไบโอติกเป็นประจำก็จะแข็งแรงและมีจำนวนเพิ่มขึ้น ส่งผลทำให้ผิวมีความสมดุลและแข็งแรง จึงอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาผิวได้ โดยทั่วไปพรีไบโอติกจะได้จากการรับประทานผักผลไม้ แต่ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของพรีไบโอติก สามารถใช้เพื่อช่วยเพิ่มความสมดุลของผิวด้โดยตรง
  • อย่ากลัวที่จะปรึกษาแพทย์ด้านผิวหนัง การรักษารอยสิวหรือเริ่มใช้ยาลดรอยสิว ครีมรักษารอยสิว ควรพบแพทย์ เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการรักษารอยสิว ลดรอยสิว และการดูแลผิวที่ถูกต้อง และเพื่อให้การใช้ยาลดรอยสิวหรือครีมรักษารอยสิวอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์ เป็นการรักษาที่ปลอดภัย และถูกวิธีอีกด้วย โดยเฉพาะคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้งที่จะตัดสินใจใช้ยาหรือครีมในการรักษารอยสิว
การป้องกันไม่ให้เกิดรอยสิว

สรุป การรักษารอยสิวเร่งด่วน แบบธรรมชาติ เห็นผลจริงจริงไหม ?

การลดรอยสิว ทั้งรอยดำ รอยแดง รอยหลุมสิว โดยใช้วิธีรักษาแบบธรรมชาติ ถ้านำวิธีที่เราได้แชร์ไปทำอย่างเป็นประจำ ก็เชื่อว่ารอยสิวต่าง ๆ ที่ว่ารักษายากก็สามารถทำให้ลดเลือนลงไปได้ค่ะ นอกจากจะรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ แล้ว สิ่งที่สำคัญก็คือการป้องกัน และลดโอกาสการเกิดรอยสิวนะคะ เพื่อผิวหน้าที่เรียบเนียน ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการใช้ชีวิต อย่างไรก็ตามใครที่อยากหาวิธีลดรอยสิวเร่งด่วน ต้องเข้าใจก่อนว่า การรักษารอยสิวไม่สามารถทำให้หายไปได้ภายใน 1 หรือ 2 วัน ต้องใช้ระยะเวลาในการรักษา เพื่อให้เซลล์ผิวได้มีการฟื้นฟูสภาพผิว แต่ถ้าหากเอาใจใส่ดูแล รักษาอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยให้รอยสิวจางลงเร็วขึ้นได้อย่างแน่นอน

เอกสารอ้างอิง

Johnson J. (2022, July 11). How to best treat acne scars. Medical News Today. https://www.medicalnewstoday.com/articles/324784#images

Bellefonds D., C. (2023, April 20). 8 Ways to get rid of acne scars for good. Healthline. https://www.healthline.com/health/beauty-skin-care/do-acne-scars-go-away