การฉีดเมโสหน้าใส เป็นหัตถการที่ช่วยส่งวิตามินและสารบำรุง เข้าสู่ชั้นผิวได้โดยตรง ทำให้เห็นผลลัพธ์รวดเร็วกว่าการบำรุงแบบทั่วไป สำหรับสาว ๆ ที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลตัวเอง ต้องการฟื้นฟูผิวแบบเร่งด่วน แนะนำให้ฉีดเมโสหน้าใส เพื่อช่วยปรับสภาพผิวให้ขาวกระจ่างใส ช่วยขับสารพิษที่ตกค้างในผิว ลดการอักเสบของผิว ลดผดผื่น ทำให้ผิวหน้าแข็งแรงขึ้น
สำหรับสาว ๆ ที่สนใจฉีดเมโสหน้าใส ไม่รู้ว่าจะเลือก เมโสหน้าใสแบบไหนดี? หรือมีคำถามมากมายเกี่ยวกับการฉีดเมโสหน้าใส ซึ่งในบทความนี้เราได้รวบรวมข้อมูลเจาะลึกเกี่ยวกับเมโสหน้าใสมาให้แล้วค่ะ ถ้าอยากมีผิวหน้าขาวใส ก็ตามมาดูด่วน ๆ ค่ะ

เมโสหน้าใส คืออะไร
เป็นการนำเอาสารสกัดเข้มข้นที่มีส่วนประกอบของวิตามินต่าง ๆ และสารบำรุงที่มีประโยชน์ต่อผิว เช่น วิตามินเอ วิตามินอี วิตามินซี คอลลาเจน คิวเท็น โคเอนไซม์ และ กลูต้าไธโอน มาผสมกัน แล้วฉีดเข้าไปในผิวหนังชั้นกลางของผิวหน้าโดยตรง เพื่อให้ผิวหน้าได้รับการบำรุงอย่างล้ำลึก และตรงจุด ซึ่งการฉีดเมโสหน้าใสจะทำให้ผิวหน้าค่อย ๆ ฟื้นฟูและดีขึ้นในวันถัดไป โดยจะเห็นผลที่ชัดเจนได้ภายใน 7-14 วัน
เมโสหน้าใสช่วยเรื่องอะไรบ้าง
การฉีดหน้าใสเป็นการบำรุงผิวหน้าให้กระจ่างใสได้อย่างล้ำลึกจากภายใน ซึ่งจะมีคุณสมบัติในการช่วยผิวหน้าในเรื่องอะไรบ้าง มาดูกันค่ะ
- ทำให้ผิวหน้าดูเรียบเนียน รูขุมขนดูเล็กลง และจะเห็นผลอย่างชัดเจนมากขึ้นเมื่อมีการทำอย่างต่อเนื่อง
- ช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวฟูละเอียด ดูอิ่มน้ำ ฉ่ำวาวอย่างเห็นได้ชัด
- ช่วยลดรอยดำที่เกิดจากสิว จุดด่างดำบนใบหน้า รวมไปถึงฝ้า กระ ให้จางลง และช่วยทำให้ผิวที่หมองคล้ำดูกระจ่างใสขึ้น
- ช่วยปรับสมดุลให้ผิวมีความชุ่มชื้น ทำให้ผิวไม่แห้ง ลดความมันส่วนเกิน
- ช่วยลดการอักเสบของสิวและการระคายเคืองของผิวหน้า
- ช่วยฟื้นฟูให้ผิวมีความแข็งแรงขึ้น ลดอาการแพ้ง่ายของผิวหน้า
- ช่วยให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์ ลดโอกาสการเกิดริ้วรอยใหม่บนใบหน้า

วิธีการฉีดเมโสหน้าใส มีกี่แบบ แตกต่างกันอย่างไร
การฉีดเมโสหน้าใสที่ได้รับความนิยมจะมีทั้งหมด 2 แบบ ดังนี้
1. การฉีดเมโสหน้าใสแบบสะกิด
เป็นวิธีการที่ใช้เข็มฉีดยาสะกิดผิวหน้าเป็นจุดเล็ก ๆ ในชั้นผิวที่ตื้น ๆ ให้ทั่วบริเวณใบหน้า เพื่อให้วิตามินซึมซาบเข้าสู่ชั้นผิว ถือเป็นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้กับชั้นผิว แต่การฉีดด้วยวิธีนี้ ข้อเสียคือ อาจทำให้เกิดรอยแดง รอยช้ำขึ้นบนใบหน้า และถ้าระหว่างฉีด หากไม่ดูแลรักษาความสะอาดมากพอ อาจเกิดการอักเสบและติดเชื้อขึ้นได้ ซึ่งอาจทำให้ผิวหน้าเกิดการระคายเคืองได้
2. การฉีดเมโสหน้าใสแบบ 16 จุด
เป็นการใช้เข็มฉีดวิตามินเข้าไปตามทิศทางการไหลเวียนของต่อมน้ำเหลือง โดยการฉีดไปยังชั้นผิวหนังที่ลึกกว่า ทำให้วิตามินซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดีขึ้น และล้ำลึกกว่าเดิม ด้วยการฉีดเมโสแบบนี้จะทำให้เกิดแผลน้อยกว่า รู้สึกเจ็บน้อยกว่า แต่ประสิทธิภาพของยาออกฤทธิ์ได้ยาวนานมากขึ้น โดยรวมแล้วการฉีดเมโสด้วยวิธีนี้จะเห็นผลลัพธ์ที่ดีกว่าการฉีดแบบสะกิด

เมโสหน้าใส มีกี่ยี่ห้อ อะไรบ้าง
การฉีดเมโสหน้าใส มีมากมายหลายยี่ห้อ หลายแบบ ดังนั้น ก่อนการฉีดจึงควรเลือกสูตรที่เหมาะสมกับปัญหาของแต่ละคน โดยต้องผ่านการประเมินจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะมียี่ห้ออะไรบ้าง มาดูกันเลยค่ะ
- มาเด้ คอลลาเจน ช่วยในเรื่องการขับสารพิษ ลดอาการแพ้บนผิวหน้า ช่วยฟื้นฟูสภาพผิวให้อิ่มฟู ลดความหมองคล้ำ ทำให้ผิวเรียบเนียน กระจ่างใส ลดการอักเสบและปัจจัยที่ทำให้เกิดสิว เป็นยี่ห้อที่จะใช้ในเคสที่คนไข้มีปัญหาสิวอุดตัน ผิวแพ้ง่าย แนะนำฉีดเว้นห่างกัน 1 เดือนเพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน โดยปกติแล้วคนไข้ที่ฉีดต่อเนื่องกันอย่างน้อย 3 เข็ม จะรู้สึกได้เลยว่าผิวลื่นขึ้นและสิวขึ้นน้อยลง
- Cytocare ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวเก่า ลดเม็ดสีฝ้ากระได้ดี รวมถึงการกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิว เน้นให้ผิวแข็งแรง แนะนำฉีดเว้นห่างกัน 1-2 เดือนเพื่อกระตุ้นคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง เป็นยี่ห้อที่แนะนำให้ใช้สำหรับคนไข้ผิวแพ้ง่าย ผิวหมองคล้ำ ตัวนี้ได้ผลดีมาก หากฉีดอย่างต่อเนื่อง คนไข้ที่ได้รับการฉีดทุก ๆ เดือน จะรู้สึกว่าผิวมีความเงาขึ้น ผิวเรียบเนียนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
- Tensonez / Depigment ช่วยลดปัญหาฝ้าบนใบหน้า ให้ผิวหน้าขาวกระจ่างใส
- Alpha albutin ช่วยในการรักษา ฝ้า กระ โดยเฉพาะ
- Filorga / Revs เน้นผิวขาวใส ลดปัญหาฝ้า เติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิว
หลังฉีดเมโสหน้าใสอยู่ได้นานเท่าไร
การฉีดเมโสหน้าใสเป็นการบำรุงเหมือนเติมน้ำให้ผิวชุ่มชื้นตลอดเวลา โดยวิตามินต่าง ๆ จะออกฤทธิ์อย่างเต็มที่ภายใน 7-14 วันหลังการฉีด ซึ่งจะเห็นว่าใบหน้ากระจ่างใส ผิวดูลื่นขึ้น วิตามินต่าง ๆจะซึมอยู่บนผิวหน้าได้ประมาณ 1-2 เดือน หากต้องการให้ผิวหน้าขาวใสฉ่ำวาวดูสุขภาพดีอยู่เสมอ ควรฉีดเติมซ้ำในทุก ๆ 2 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน เพื่อเป็นการบำรุงผิวอย่างล้ำลึก และให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้นไปอีก
เมโสหน้าใสควรฉีดบ่อยแค่ไหนถึงจะเห็นผล
การฉีดเมโสหน้าใสสามารถเห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีดประมาณ 10-15 เปอร์เซ็นต์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคน และควรฉีดทุก ๆ 2-3 สัปดาห์ต่อเนื่องกัน 4-6 ครั้ง และหากต้องการเห็นผลลัพธ์แบบสูงสุดในช่วงแรกควรฉีดอาทิตย์ละ 1 ครั้งติดต่อกันเป็นเวลา 1 เดือน หลังจากนั้นจึงสามารถเว้นระยะเป็นเดือนละ 1 ครั้งได้ เพื่อคงประสิทธิภาพ และให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากขึ้น ทำให้ใบหน้าขาวกระจ่างใส ไร้ปัญหาผิวยาวนานมากยิ่งขึ้น

ข้อดี-ข้อเสียของการฉีดเมโสหน้าใส
การฉีดเมโสหน้าใสจะให้สารบำรุงผิวที่เห็นผลได้ไวกว่าการทานอาหารเสริมวิตามินและทาครีมบำรุงผิวหลายสิบเท่า เพราะเป็นการฉีดตัวยาเข้าสู่ชั้นผิวโดยตรง ดังนั้น การฉีดเมโสหน้าใสจะมีข้อดี และข้อเสีย ดังนี้
ข้อดี
- เป็นการให้สารอาหารแก่ผิวอย่างล้ำลึกและร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทันที
- ไม่ต้องพักฟื้นรอยแดงหลังการฉีด เนื่องจากรอยแดงจุด ๆ สามารถหายไปได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง
- ช่วยลดปัญหาผิวต่าง ๆ เช่น จุดด่างดำบนใบหน้า รอยสิว ฝ้า กระ และสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอกันอย่างเห็นผลที่ชัดเจน
- ช่วยปรับโครงสร้างผิวให้มีความแข็งแรง ทำให้ผิวไม่บอบบางหรือมีอาการแพ้ง่าย ผิวมีเกราะป้องกันที่ดีขึ้น
- ลดโอกาสการเกิดสิวขึ้นใหม่บนใบหน้า
- ทำให้ผิวดูเรียบเนียน กระจ่างใส ฟูเด้ง อิ่มน้ำ และมีสุขภาพดี
- ช่วยให้รูขุมขนเล็กลงและผิวแลดูอ่อนเยาว์ขึ้น
- ลดโอกาสการเกิดริ้วรอยบนใบหน้าหรือรอยดำใหม่ในอนาคต
- ทำให้แต่งหน้าง่ายขึ้น และเครื่องสำอางติดทนมากขึ้น
ข้อเสีย
- อาจเกิดอาการแพ้ หรือมีการอักเสบ รวมถึงการติดเชื้อจากรอยเข็มได้ ถ้าไม่ได้รับการฉีดที่ถูกต้องจากแพทย์ที่เชี่ยวชาญ
- เป็นการฉีดเพื่อบำรุงผิวจากภายใน ทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรง จึงจำเป็นต้องทำอย่างต่อเนื่องในการเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน และการคงสภาพผิวที่ดี
- ถ้าหากแพทย์ไม่มีความชำนาญ หรือความเชี่ยวชาญ ใช้เทคนิคการฉีดไม่ถูกต้อง เช่น แทงเข็มเข้าไปในชั้นผิวที่ลึกเกินไป จะทำให้เกิดแผลเป็นขึ้นบนใบหน้า หรือหากแทงเข็มตื้นเกินไป จะทำให้ตัวยาลงไปในชั้นผิวได้น้อย จึงเห็นผลน้อย และตัวยาลดประสิทธิภาพลงได้
เมโสหน้าใสเหมาะกับใครบ้าง
- เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ของผิวหน้าที่รวดเร็วกว่าการทาครีมบำรุงผิวแบบทั่วไป
- เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ ไม่กระจ่างใส รูขุมขนกว้าง เป็นสิว ผิวขาดความชุ่มชื้น สีผิวไม่สม่ำเสมอ
- เหมาะสำหรับคนผิวแห้งและผิวแพ้ง่าย ต้องการการบำรุงที่ล้ำลึกและทำให้ผิวแข็งแรง
- เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง นอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ อดนอน และทำงานหนัก
- เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาฝ้า กระ และจุดด่างดำ
- เหมาะสำหรับคนที่ต้องการให้ใบหน้าขาวใส ดูสุขภาพดี มีออร่าแบบเร่งด่วน
- เหมาะสำหรับคนที่ต้องใส่แมสตลอดเวลา ซึ่งทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้ง่าย
ฉีดเมโสหน้าใสอันตรายหรือไม่
เมโสแท้ ซึ่งเป็นตัวยามาจากสารสกัดที่ผ่านมาตรฐานขององค์การระดับโลก และมีงานวิจัยรองรับมากมายจึงไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย สามารถสลายหมดได้โดยไม่มีการตกค้างในผิว แต่ว่าต้องเป็นตัวยาแท้ผ่าน อ.ย. และสามารถตรวจสอบได้เท่านั้น ดังนั้น ต้องเลือกฉีดกับคลินิกที่ได้มาตรฐาน มี อ.ย. รับรอง เพราะการสั่งซื้อตัวยาแท้จำเป็นต้องให้แพทย์สั่งจากบริษัทยาโดยตรงเท่านั้น จึงมั่นใจได้ว่าหากฉีดกับหมอกระเป๋าหรือซื้อยาทางอินเตอร์เน็ต จะไม่มีทางได้รับเมโสแท้อย่างแน่นอน

การดูแลตัวเองหลังฉีดเมโสหน้าใส
การดูแลตัวเอง เพื่อให้คงสภาพผิวที่ดี หลังการฉีดเมโสหน้าใส ต้องทำดังนี้
- ไม่อดนอน หรือนอนน้อย เพราะการพักผ่อนให้เพียงพอ ทำให้สามารถดูดซึมอาหารผิวได้ดีขึ้น
- ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และไม่สูบบุหรี่ จะช่วยรักษาให้ผลของเมโสหน้าใสอยู่ได้นานขึ้น
- หลีกเลี่ยงแสงแดดและความร้อน จะช่วยให้ประสิทธิภาพของเมโสทำงานได้ดีขึ้น นอกจากนั้นยังเป็นการไม่ทำร้ายผิวหน้าอีกด้วย
- ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า การนวดผิว กดผิวหน้า หรือการสคลับผิวหน้า ทันทีหลังฉีด
- หลีกเลี่ยงการทาครีมตรงบริเวณรอยเข็มที่ฉีด ในช่วง 1 คืนแรกหลังการฉีด
- ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยในการดูดซึมและการไหลเวียนของเลือดที่ดี ทำให้สามารถดูดซึมวิตามินต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น
Q&A เกี่ยวกับการฉีดเมโสหน้าใส
Q : เมโสหน้าใสยี่ห้อไหนดีที่สุด ?
A : เมโสหน้าใสมีหลายยี่ห้อ และมีสูตรแตกต่างกันไป ซึ่งแต่ละยี่ห้อจะมีคุณสมบัติคล้าย ๆ กันคือช่วยทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้น แข็งแรง และเพิ่มการกระตุ้นคอลลาเจนให้ผิว โดยยี่ห้อที่คลินิกนิยมเลือกใช้มี 2 ยี่ห้อที่ดีที่สุด ดังนี้
- Made Collagen เป็นตัวที่นิยมใช้ที่สุด โดยแพทย์ผิวหนังจะแนะนำให้ฉีดเพื่อช่วยลดอาการแพ้ ลดการเกิดสิว ลดผดผื่น และอาการอักเสบต่าง ๆ บนผิวหน้า เหมาะสำหรับคนที่มีผิวแพ้ง่าย มีสิวอักเสบและสิวอุดตันจำนวนมาก ตัวยานี้จะช่วยลดการเกิดสิวใหม่ได้โดยตรงอีกด้วย
- Cytocare เป็นอีกตัวที่ได้รับความนิยม และแนะนำจากแพทย์ผิวหนังเป็นจำนวนมาก การฉีดตัวนี้จะเน้นเพื่อให้ใบหน้ากระจ่างใส ลดจุดด่างดำ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวแข็งแรง ตัวยาจะอยู่ได้นานกว่ามาเด้ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการผลลัพธ์กระจ่างใสยาวนานกว่า
Q : ฉีดเมโสหน้าใส หน้าบวมกี่วัน ?
A : ในบางเคสอาจมีรอยบวมจากรอยเข็มที่ฉีด ซึ่งสามารถหายได้เองภายใน 1-3 วัน และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันตามปกติได้
Q : ฉีด Meso หน้าใส เจ็บไหม ?
A : การฉีดเมโสหน้าใส คือ หัตถการที่ใช้เข็มกับใบหน้า หลายคนจึงกังวล เพราะกลัวว่าจะเกิดความรู้สึกเจ็บจากการฉีดด้วยเข็ม ปกติการทำเมโสจะแทงเข็มลงไปในชั้นผิว ลึกเพียง 5 – 10 มิลลิเมตรเท่านั้น จึงจะไม่ได้รู้สึกเจ็บมาก อาจรู้สึกถึงความร้อนที่ผิวบ้างเล็กน้อย และไม่จำเป็นต้องใช้ยาชา
Q : ฉีดเมโสหน้าใส ราคาเท่าไหร่ ?
A : การฉีดเมโสหน้าใส ราคาไม่แพง เมื่อเทียบกับหัตถการอื่น ๆ หรือเทียบกับการซื้อสกินแคร์แพง ๆ ที่ต้องใช้เวลานานกว่าจึงจะเห็นผล ซึ่งตามคลินิกต่าง ๆ ก็จะมีโปรโมชั่นคอร์สเมโสหน้าใส เช่น ฉีด 1 ครั้ง ราคา 2,500 บาท ซื้อเป็นคอร์ส 5 ครั้ง ราคา 9,900 บาท ก็จะคุ้มค่ากว่า แล้วแต่ความต้องการของแต่ละคน

สรุป การฉีดเมโสหน้าใส ดีไหม ?
การฉีดเมโสหน้าใส เป็นการฉีดตัวยาเข้าไปในผิวชั้นกลาง เพื่อให้วิตามินต่าง ๆ ซึมเข้าสู่ชั้นผิวหนังได้อย่างล้ำลึก ช่วยบำรุงให้ผิวมีความชุ่มชื้น ฉ่ำวาว ปรับสีผิวให้มีความสม่ำเสมอ เรียบเนียนและกระจ่างใสขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยสร้างสมดุลให้กับผิว และช่วยลดอาการอักเสบของผิวหนัง รวมถึงลดปัจจัยต่าง ๆ ของการเกิดสิว ช่วยกระชับรูขุมขนให้เล็กลง ลดจุดด่างดำจากฝ้า กระ และรอยแผลเป็นารจากสิวต่าง ๆ อีกทั้งขั้นตอนการทำก็ไม่ยุ่งยาก มีความปลอดภัย ถ้าเทียบกับครีมราคาแพงแล้ว การฉีดเมโสหน้าใสก็มีความคุ้มค่าและเห็นผลลัพธ์ได้เร็วกว่า แต่จำเป็นต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลลัพธ์ที่คงทนและเห็นผลชัดเจนนั่นเอง
เอกสารอ้างอิง
Sinha R. (2023, May 12). Mesotherapy for the face – benefits, procedure, and side effects. Stylecraze. https://www.stylecraze.com/articles/mesotherapy-for-face/
Paul J. (2020, April 26). What is mesotherapy and can it improve my skin ? benefits & review. The Aesthetics Glow Clinic. https://aestheticsglow.com/blog/what-is-mesotherapy-and-can-it-improve-my-skin-benefits-review/