ปัญหาริมฝีปากแห้งแตกที่เกิดขึ้นอาจมาจากหลายสาเหตุ ซึ่งการมีปัญหาปากแห้งแตกทำให้ขาดความมั่นใจ ทำให้ใบหน้าดูโทรม แต่งหน้าได้ลำบาก ทาลิปสติกก็ตกร่อง ไม่ติดทนอีกด้วย ดังนั้น เราจึงมาช่วยทุกคนแก้ปัญหาปากแห้งแตก ด้วยธรรมชาติ ให้หายขาด มาฝาก ให้ได้ทำตามกันค่ะ แต่ก่อนอื่นเราควรรู้ก่อนว่าอาการปากแห้งแตกเป็นอย่างไร มีสาเหตุเกิดจากอะไร รวมถึงสามารถบ่งบอกว่าเป็นโรคอะไรได้บ้าง ถ้าอยากรู้แล้วก็ตามมาดูเลยค่ะ

ปากแห้งแตกเป็นอย่างไร
เป็นภาวะที่ริมฝีปากแห้ง แตกเป็นขุย และอาจมีอาการเจ็บแสบร่วมด้วย ทำให้ริมฝีปากเป็นร่อง ซึ่งเกิดจากการขาดความชุ่มชื้น มักเกิดขึ้นในช่วงที่สภาพอากาศหนาว แห้ง หรือมีลมแรง เนื่องจากริมฝีปากไม่มีต่อมไขมันที่สร้างน้ำมันให้ความชุ่มชื้นเหมือนผิวหนัง นอกจากนี้ การเลียริมฝีปากบ่อย ๆ และการใช้ยาบางชนิดก็อาจทำให้ปากยิ่งแห้งและมีรอยคล้ำเกิดขึ้น และแตกได้เช่นกัน แม้ว่าภาวะปากแตกจะพบได้ทั่วไป แต่กรณีที่มีอาการรุนแรงมากก็อาจส่งผลให้เกิดการติดเชื้อจนริมฝีปากอักเสบได้ด้วย
อาการของปากแห้งแตก
อาการ ปากแห้งแตก หรือ ริมฝีปากแห้งตึง ขาดความชุ่มชื้น สามารถเกิดได้กับคนทั่วไป เพราะปากไม่มีต่อมไขมันช่วยสร้างน้ำมันเพื่อปกป้องความชุ่มชื้นเหมือนกับผิวหนังส่วนอื่น ๆ หากขาดการดูแลที่ดีอาจทำให้ริมฝีปากแห้ง และเมื่อเคลื่อนไหวริมฝีปากมาก ๆ ก็จะทำให้เกิดรอยปริแตก มีเลือดไหลซึมออกมาได้ ซึ่งอาการแต่ละคนต่างกันตามความรุนแรง เช่น
- ริมฝีปากลอกเป็นขุย
 - ริมฝีปากมีอาการแห้งตึง จนเป็นแผล
 - ริมฝีปากมีความแห้ง จนเกิดร่องแตก
 
อาการเหล่านี้นอกจากจะทำให้ริมฝีปากดูไม่สวย ทำให้เสียบุคลิกภาพ แล้วยังรู้สึกเจ็บแสบอีกด้วย ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การรับประทานอาหารที่ต้องสัมผัสกับริมฝีปากอย่างเลี่ยงไม่ได้ หากปล่อยไว้นานแม้จะรักษาหายก็อาจทิ้งร่องรอยด่างดำ และริมฝีปากหมองคล้ำไม่สดใสได้ค่ะ

ปากแห้งแตก เกิดจากสาเหตุอะไรบ้าง
การจะบำรุงรักษาริมฝีปากให้ไม่เกิดปัญหาปากแห้ง แตก ลอกเป็นขุยนั้น จะต้องรู้ให้ลึกถึงต้นตอของปัญหา เพื่อนำไปสู่การแก้ไขได้อย่างถูกวิธี ซึ่งปัจจัยที่เป็นสาเหตุให้เกิดอาการริมฝีปากแห้ง แตก ลอกเป็นขุย มีดังนี้
- ขาดน้ำ- ดื่มน้ำน้อย เป็นสาเหตุที่สามารถพบได้บ่อยที่สุด เมื่อดื่มน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ริมฝีปากก็จะขาดความชุ่มชื้นไปด้วย ทำให้มีอาการปากแห้งแตกลอก ที่สำคัญคือบริเวณริมฝีปากเป็นบริเวณที่สูญเสียน้ำหล่อเลี้ยงได้ง่ายมาก ดังนั้นจึงควรดื่มน้ำให้มาก ๆ ในแต่ละวัน
 - อายุที่มากขึ้น ยิ่งอายุมากขึ้น ปากก็จะแห้งได้ง่ายขึ้นตามไปด้วย ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงตามวัย เนื้อริมฝีปากจะยิ่งบางลงเรื่อย ๆ เนื่องจากคอลลาเจนมีการสร้างน้อยลง ทำให้ปากแห้งเกิดริ้วรอยที่เนื้อปากและขอบปาก ทำให้ดูมีอายุมากขึ้นนั่นเอง
 - ชอบเลียริมฝีปาก การติดนิสัยเลียริมฝีปากบ่อย ๆ ไม่ได้ช่วยทำให้ปากชุ่มชื้น แต่ยิ่งทำให้ปากแห้งแตกเร็ว เพราะน้ำลายจะดึงเอาความชุ่มชื้นออกจากริมฝีปาก ทำให้ปากแห้งแตกและเกิดความหมองคล้ำ
 - อยู่ในสภาพอากาศหนาว-แห้ง จะสังเกตได้ว่าอาการปากแห้งแตกมักเกิดขึ้นในสภาพอากาศหนาวเย็น โดยในช่วงฤดูหนาว หรือในที่อากาศเย็น ริมฝีปากจะแห้งมากกว่าปกติ รวมถึงการใช้ชีวิตอยู่ในที่ที่เปิดแอร์เย็น ๆ ทั้งวัน ก้จะเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการปากแห้ง ปากแตกได้ง่าย
 - ปากแห้งจากการขาดวิตามิน และภาวะขาดสารอาหาร เป็นอาการคล้าย ๆ กับอาการที่ร่างกายขาดน้ำ โดยเฉพาะคนที่ขาดวิตามินบี ริมฝีปากจะแห้งแตก และลอกเป็นขุยง่ายกว่าคนทั่วไป ซึ่งวิตามินบีมีความสำคัญต่อผิวหนัง รวมไปถึงริมฝีปากด้วยนั่นเอง
 - สัมผัสอาหาร หรือ ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคือง การรับประทานอาหารหรือริมฝีปากสัมผัสกับอาหารบางชนิดที่มีความเป็นกรด ในบางคนจะไวต่อการสัมผัสอาหารชนิดนี้ ทำให้เกิดอาการปากแห้งแตกได้ง่าย ๆ เช่น มะนาว ส้ม มะม่วง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากนั้น ผลิตภัณฑ์บางชนิด เช่น ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก หรือลิปสติก อาจมีส่วนผสมที่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อริมฝีปาก ทำให้รู้สึกปากแห้งแตกตลอดเวลาได้เช่นกัน
 - การใช้ยารักษาโรคหรืออาหารเสริมบางชนิด จะสามารถส่งผลให้ผิวและริมฝีปากมีอาการแห้งแตกได้ เช่น ยาลดน้ำมูก ยาแก้แพ้ รวมถึงวิตามินบางชนิด เช่น วิตามินเอ เรตินอยด์ ยาลิเทียม หรือยาเคมีบำบัด เป็นต้น
 - โรคเรื้อรังหรือภาวะทางผิวหนัง โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือโรคผิวหนังอักเสบ อาจทำให้ริมฝีปากแห้งแตกตลอดเวลา กลายเป็นโรคเรื้อรังทางผิวหนังได้
 

ปากแห้งแตกบ่งบอกว่าเป็นโรคอะไร
อาการปากแห้งแตก สามารถบ่งบอกถึงโรคที่เราเป็นอยู่ได้ ดังนี้
- โรคภูมิแพ้ บางคนมีอาการป่วยโรคภูมิแพ้โดยที่ไม่รู้ตัวมาก่อน ทั้งที่จริงแล้วเราสามารถสังเกตอาการแพ้ของตัวเองได้ง่าย ๆ จากอาการปากแห้ง แตก ลอก ที่ไม่หายสักที อาจมาจากการแพ้ยาสีฟัน แพ้ลิปสติก แพ้เครื่องสำอางที่ใช้กับริมฝีปาก หรือหากปากแห้งแตกเฉพาะรอบ ๆ ขอบปาก อาจแพ้โฟมล้างหน้า หรือเครื่องสำอางที่ใช้อยู่เป็นประจำก็เป็นได้ นอกจากนั้น อาหารก็มีส่วนที่ทำให้ปากแห้งแตกได้เช่นกัน โดยเฉพาะในคนที่มีอาการแพ้อาหารบางชนิด เช่น นมวัว ถั่วลิสง หรืออาหารทะเล เป็นต้น เมื่อริมฝีปากสัมผัสกับอาหารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ อาจมีอาการแห้ง แตก และลอกจนเป็นแผลได้
 - โรคเบาหวาน อาการของโรคเบาหวานจะส่งผลให้ผู้ป่วยปัสสาวะบ่อยขึ้น อีกทั้งต่อมน้ำลายของผู้ป่วยโรคเบาหวานยังไม่สามารถผลิตน้ำลายออกมาได้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อป้องกันความชุ่มชื้น จึงส่งผลให้ร่างกายขาดความชุ่มชื้น จนเกิดอาการปากแห้งแตก คอแห้ง รวมไปถึงผิวหนังแห้งแตกบ่อย ๆ
 - โรคโชเกร็น (Sjogren’s syndrome) เป็นโรคที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันต่อต้านตนเอง โรคนี้จะเกิดการอักเสบเรื้อรังอย่างช้า ๆ โดยเฉพาะการอักเสบบริเวณต่อมที่มีท่อ ทั้งนี้อาการของโรคโชเกร็นจะมีลักษณะเด่น ๆ คือกลุ่มอาการแห้ง 3 อย่าง ได้แก่ กระจกตาแห้ง เยื่อบุตาขาวอักเสบ และอาการปากแห้ง นอกจากนี้ผู้ป่วยโรคโชเกร็นยังจะมีอาการอื่น ๆ เช่น อาการทางผิวหนัง ข้อ ปอด ไต เส้นเลือด และเส้นประสาท โดยกลุ่มอาการจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มย่อย คือ กลุ่มที่ไม่ทราบสาเหตุและไม่พบโรคอื่นใดเพิ่ม และกลุ่มที่มีสาเหตุหรือพบร่วมกับภาวะหรือโรคอื่น ๆ โดยเฉพาะโรครูมาติกที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันต่อต้านของตนเอง เช่น โรคลูปัส โรค RA โรคหนังแข็ง เป็นต้น
 - ภาวะปากแห้งเหตุน้ำลายน้อย ภาวะปากแห้งเหตุน้ำลายน้อย (Xerostomia) เป็นความผิดปกติที่ส่งผลให้การไหลของน้ำลายลดลง โดยอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น ต่อมน้ำลายทำงานผิดปกติ การสูญเสียน้ำและแร่ธาตุในร่างกายจนเกิดภาวะขาดน้ำ รวมไปถึงในกลุ่มผู้ป่วยสูงอายุ ผู้ที่สูบบุหรี่ ผู้ป่วยที่ได้รับรังสีรักษามะเร็งบริเวณศีรษะและใบหน้า ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะทำให้ต่อมน้ำลายสูญเสียการทำหน้าที่ไป โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีการรักษาด้วยการฉายรังสี เนื่องจากต่อมน้ำลายมักอยู่ในบริเวณที่ได้รับรังสี ดังนั้นการทำเคมีบำบัดในการรักษามะเร็ง และโรคทางระบบต่าง ๆ บริเวณศีรษะและใบหน้าก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ต่อมน้ำลายผลิตน้อยลงจนเกิดอาการปากแห้งได้ นอกจากนี้อาการปากแห้งอาจเกิดจากผลข้างเคียงของยาที่ผู้ป่วยได้รับในการรักษาโรคทางระบบอื่น ๆ อีกด้วย
 - ภาวะขาดน้ำ เป็นภาวะที่ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่บางชนิดมากเกินไปจนส่งผลให้อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายไม่สามารถทำงานได้ปกติ โดยภาวะขาดน้ำมักจะเกิดจากการท้องเสียอย่างรุนแรง หรือท้องร่วง พบได้สูงในเด็ก โดยเฉพาะอายุต่ำกว่า 5 ปี และในผู้สูงอายุ ซึ่งอาการเบื้องต้นของภาวะขาดน้ำจะสังเกตได้ว่ามีอาการกระหายน้ำมาก ริมฝีปากแห้ง ช่องปากแห้ง ผิวแห้ง เหนื่อยง่าย ปัสสาวะน้อย ปวดศีรษะ และวิงเวียน หากปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำมาก ๆ อาการป่วยด้วยโรคต่าง ๆ ก็จะตามมาในไม่ช้า
 

7 วิธีแก้ปากแห้งแตก ด้วยธรรมชาติ ให้หายขาด คืนริมฝีปากนุ่มชุ่มชื้น
วิธีแก้ปากแห้งแตก ด้วยวิธีธรรมชาติ นอกจากจะช่วยประหยัดงบแล้ว ยังปลอดภัย และที่สำคัญถ้าทำเป็นประจำ ริมฝีปากที่แห้งแตกก็จะหายขาด และกลับมานุ่มชุ่มชื้นได้เหมือนเดิมอีกด้วย ซึ่งจะมีสูตรจากะรรมชาติอะไรบ้าง ตาามาดูกันได้เลยค่ะ

1. น้ำมันมะพร้าว
น้ำมันมะพร้าวมีส่วนช่วยในการบำรุงผิวได้อย่างล้ำลึก พร้อมช่วยบรรเทาริมฝีปากที่แห้งแตกได้อย่างรวดเร็ว รวมไปถึงอาการแสบจากปากแห้งแตกก็ช่วยทำให้อาการดีขึ้นได้ นอกจากนั้นยังช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อผิวใหม่ได้อีกด้วย วิธีทำคือ ทาน้ำมันมะพร้าว 1-2 หยดให้ทั่วริมฝีปาก แล้วนวดเบา ๆ ให้รอบผิวปากจนทั่ว เป็นอันเสร็จ แนะนำให้ทำเป็นประจำทุกวัน ริมฝีปากจะชุ่มชื้นขึ้นอย่างรวดเร็ว

2. แตงกวา
อุดมไปด้วยน้ำในปริมาณมาก ซึ่งแตงกวามีส่วนช่วยป้องกันผิวเกิดภาวะขาดน้ำ จึงช่วยรักษาผิวริมฝีปากที่แห้งแตกได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นแตงกวายังมีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาด และมอบความชุ่มชื้นได้อย่างล้ำลึกได้อีกด้วย วิธีทำคือ นำแตงกวา 1 ลูก มาหั่นเป็นชิ้น ๆ จากนั้น ถูชิ้นแตงกวาให้ทั่วริมฝีปาก บริเวณที่แห้งแตก แล้วรอให้ซึมลึกลงไปในผิวปาก แนะนำให้ทำ 3-4 ครั้งต่อวัน ก็จะทำให้อาการปากแห้งหายไปได้

3. น้ำตาล + น้ำผึ้ง
น้ำผึ้งและน้ำตาลมีส่วนช่วยในเรื่องสครับผิว พร้อมมอบความชุ่มชื้นให้ผิวได้ดี ซึ่งเมื่อมาใช้กับริมฝีปากน้ำตาลนั้นจะช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไปได้ ส่วนน้ำผึ้งจะช่วยบำรุงให้ผิวปากอ่อนนุ่มขึ้น พร้อมช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อผิวใหม่ได้อีกด้วย วิธีทำคือ นำน้ำตาล 1 ช้อนชากับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะมาผสมให้เข้ากัน แล้วทาส่วนผสมให้ทั่วริมฝีปาก จากนั้นถูผิวปากเบา ๆ ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด แนะนำให้ทำสม่ำเสมอเป็นประจำสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง จะทำให้ริมฝีปากกลับมานุ่มชุ่มชื้นอีกครั้ง

4. ชาเขียว
อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่เข้ามาช่วยในการต้านอนุมูลอิสระจากมลภาวะต่าง ๆ ที่มีส่วนทำร้ายผิว ให้เกิดอาการแห้งแตก ที่สำคัญยังช่วยบรรเทาและรักษาอาการแสบผิวจากปากที่แห้งแตกได้อีกด้วย วิธีทำคือ เตรียมถุงชาเขียว 1 ถุง และน้ำร้อน 1 แก้ว แล้วหย่อนถุงชาเขียวลงในแก้วน้ำร้อน 2-3 นาที จากนั้นนำถุงชาเขียววางแนบลงบนผิวปากที่แห้งแตก ซึ่งสามารถทำได้บ่อยเท่าที่ต้องการ เพื่อฟื้นฟูอาการริมฝีปากแห้งแตกให้ดีขึ้นได้

5. น้ำมันมะกอก
น้ำมันมะกอก มีส่วนช่วยบำรุงผิว ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น และยังช่วยป้องกันอาการปากแห้งแตกได้เป็นอย่างดี เรียกได้ว่าน้ำมันมะกอกขึ้นชื่อในเรื่องของคุณสมบัติที่ดีต่อผิว เส้นผม และริมฝีปากสุด ๆ วิธีทำคือ นำน้ำมันมะกอก 1-2 หยด มาทาให้ทั่ว ๆ ริมฝีปากบริเวณที่แห้ง แล้วทิ้งไว้จนกว่าจะดูดซึมสู่ผิว ซึ่งแนะนำให้ทำหลาย ๆ ครั้งต่อวัน ริมฝีปากที่แห้งแตกก็จะกลับมาชุ่มชื้นขึ้น

6. ว่านหางจระเข้
มีคุณสมบัติช่วยบำรุงผิว ช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อผิวใหม่ และช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิวได้เป็นอย่างดี พร้อมช่วยรักษาอาการปากแห้งแตก ให้ริมฝีปากชุ่มฉ่ำตลอดเวลา วิธีทำคือ นำวุ้นที่ได้จากว่านหางจระเข้มาทาให้ทั่วผิวปาก แล้วทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จนกว่าจะดูดซึมสู่ผิว จากนั้นล้างออกด้วยน้ำเย็น ซับปากให้แห้ง โดยแนะนำให้ทำ 4 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อรักษาอาการปากแห้งแตกให้หายได้

7. ทับทิม
เคยสังเกตกันไหมว่า ในครีมบำรุงผิวหลายตัวจะมีส่วนประกอบของทับทิมอยู่ด้วย ซึ่งทับทิมมีส่วนช่วยในเรื่องการแก้ปัญหาผิวต่าง ๆ ได้ดี เพราะเมล็ดทับทิมมีส่วนช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ ลดอาการผิวแห้งอักเสบ ระคายเคืองได้เป็นอย่างดี ดังนั้น การรับประทานทับทิมก็ช่วยให้อาการปากแห้งแตกสามารถดีขึ้นได้
การป้องกันไม่ให้เกิดอาการปากแห้งแตก
การป้องกัน และดูแลไม่ให้เกิดอาการปากแห้งแตก เพื่อริมฝีปากนุ่มชุ่มชื้นอยู่เสมอ ต้องทำอะไรบ้าง ตามมาดูกันค่ะ
- ดื่มน้ำให้มาก ๆ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะขาดน้ำ และรักษาความชุ่มชื้นของริมฝีปาก
 - หลีกเลี่ยงการกัดหรือการเลียริมฝีปาก เพราะน้ำลายอาจทำลายความชุ่มชื้นบนริมฝีปากจนทำให้ปากแห้งและแตกได้
 - ใช้ลิปบาล์มหรือผลิตภัณฑ์บำรุงที่เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ริมฝีปากเป็นประจำ โดยเลือกใช้ลิปบาล์มชนิดที่มีค่าป้องกันแสงแดดด้วยหากต้องออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง และหลีกเลี่ยงการใช้ลิปบาล์มชนิดที่มีกลิ่นหรือรส เพราะอาจเกิดการเลียริมฝีปากบ่อยครั้งขึ้น
 - หากต้องออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านในวันที่อากาศหนาวเย็น ควรปกป้องริมฝีปากด้วยการใส่ผ้าปิดปาก
 - หายใจทางจมูก เพราะการหายใจทางปากอาจทำให้ริมฝีปากแห้งและแตกได้
 - หลีกเลี่ยงการใช้สารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ หรือเกิดการระคายเคืองริมฝีปาก เช่น ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของน้ำหอม และสีเคมีในเครื่องสำอาง เป็นต้น
 - หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้ปากแห้ง ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด อาหารที่มีกรด มีรสเปรี้ยว หรือหลังรับประทานอาหารแล้วควรล้างปากทุกครั้ง เพื่อไม่ให้กรดลดความชุ่มชื้นของริมฝีปาก เช่น ผลไม้ และควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ที่มีผลขับน้ำออกจากร่างกาย และทำให้ผิวแห้งได้ง่าย
 - รับประทานอาหารเสริม วิตามิน เพื่อดูแลไม่ให้เกิดอาการปากแห้งแตก จึงควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินบี เช่น ผักใบเขียว ข้าวกล้อง ถั่วเปลือกแข็ง และตับ วิตามินบีจะช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อของร่างกาย และรับประทานอาหารที่มีซัลเฟอร์สูง เช่น ไข่ กระเทียม เพื่อให้ริมฝีปากนุ่ม ชุ่มชื้น ฉ่ำน้ำตลอด
 

Q&A เกี่ยวกับวิธีแก้ปากแห้งแตก
Q : ริมฝีปากแห้งทำให้ปากดำคล้ำไหม?
A : ปากแห้งแตกสามารถทำให้ปากดำคล้ำได้อย่างแน่นอน เพราะเมื่อริมฝีปากมีอาการแห้ง ไม่มีความชุ่มชื้น ริมฝีปากลอกเป็นขุย จนเกิดการปริแตก ส่งผลให้ริมฝีปากดำคล้ำได้ง่ายมาก เพราะฉะนั้นต้องดูแลริมฝีปากให้ดี พยายามให้ริมฝีปากมีความชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา
Q : ปากแห้งขาดวิตามินอะไร ?
A : ปากแห้งแตก เนื่องจากการขาดวิตามิน ดังนี้
- วิตามินบี 2 ที่ทำให้ริมฝีปาก รวมไปถึงผม เล็บ และผิวจะกระด้างด้วย ควรกินอาหารเสริมวิตามินบี 2 ซึ่งส่วนใหญ่จะพบในผลิตภัณฑ์นม ไข่ ผักใบเขียว ถั่ว และเนื้อไม่ติดมัน
 - วิตามินบี 3 ที่ทำให้ปากแห้งแตก ผิวหนังอักเสบแดง ลิ้นและปากบวม ซึ่งร่างกายจะต้องการวิตามินบี 3 13-20 มิลลิกรัมต่อวัน ควรรับประทานอาหารเสริมวิตามินบี 3 โดยส่วนใหญ่จะพบในปลาทูน่า เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่ ธัญพืช ผักใบเขียวและนม
 - วิตามินบี 6 ที่ทำให้เป็นปากนกกระจอก เสริมวิตามินบี 6 ได้ โดยการรับประทานอาหารจำพวก เนื้อ ธัญพืช ผักใบเขียว และพืชมีฝักต่าง ๆ
 - สังกะสี โดยปกติร่างกายควรได้รับสังกะสี 10-25 มิลลิกรัมต่อวัน ถ้าได้รับเกิน 100 มิลลิกรัมขึ้นไป จะเป็นพิษต่อร่างกาย ควรรับประทานอาหารเสริมที่มีสังกะสี โดยส่วนใหญ่จะพบในโฮลเกรน เนื้อวัว เนื้อหมู ถั่วต่าง ๆ ชีสเกาด้าและสวิส
 

สรุป การแก้ปากแห้งแตก ให้หายขาด คืนริมฝีปากนุ่มชุ่มชื้น
สำหรับคนที่มีปัญหาปากแห้งแตกอยู่ เราอยากให้ลองนำวิธีแก้ปากแห้งแตกที่เราได้รวบรวมมาไว้ในบทความนี้ ไปทำตามดูกันตามคำแนะนำ และเป็นวิธีที่เราสามารถมั่นใจได้ในเรื่องความปลอดภัย เพราะไม่มีสารเคมีเข้ามาเป็นส่วนผสมนั่นเอง เนื่องจากมาจากวัตถุดิบจากธรรมชาติทั้งนั้น อย่างไรารก็ตาม ลองเลือกใช้สูตรที่เหมาะสำหรับริมฝีปากของตัวเองมากที่สุด เชื่อเลยว่าริมฝีปากที่แห้งแตกจะกลับมานุ่มชุ่มชื้น คืนความมั่นใจในการทาลิปสติกให้สวย และหมดปัญหาปากแห้งแตก ลอกเป็นขุย ให้ไม่กลับมากวนใจอย่างแน่นอน
เอกสารอ้างอิง
Eske J. (2019, January 24). Best 6 ways to relieve chapped lips. Medical News Today. https://www.medicalnewstoday.com/articles/324281
The Healthline Editorial Team. (2019, November 7). How to get rid of chapped lips. Healthline. https://www.healthline.com/health/how-to-get-rid-of-chapped-lips
Kukreja K. (2023, May 1). Get rid of chapped lips fast using these 11 home remedies. Stylecraze. https://www.stylecraze.com/articles/simple-homemade-tips-to-get-rid-of-chapped-lips/